รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน โดยไม่มีเครื่องยนต์เชื้อเพลิงอยู่ภายใน แต่จะมีแบตเตอรี่ใหญ่เป็นแหล่งจ่ายไฟ ดังนั้น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าก็คือการเติมพลังงานไฟฟ้าให้แบตเตอรี่ โดยมีวิธีการและอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป
วิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งหมด 4 แบบ คือ
แบบที่ 1: เสียบชาร์จจากเต้ารับไฟในบ้าน (ไฟกระแสสลับ AC) เข้ากับตัวรถโดยตรง (บนรถมี On-board charger แปลงเป็นกระแสตรง DC) โดยไม่มีอุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟหรือป้องกันไฟรั่ว และจะมีกระแสไฟฟ้าไหลในสายตลอด ทำให้ไม่มีมาตรการความปลอดภัยที่เพียงพอ ค่ายรถ EV แทบทั้งหมดจึงไม่ใช้รูปแบบการชาร์จนี้แล้ว
แบบที่ 2: เสียบชาร์จจากเต้ารับไฟในบ้าน (ไฟกระแสสลับ AC) เข้ากับตัวรถ โดยมี In Cable Control Box เป็นตัวควบคุมกระแสไฟที่เข้ารถ โดยปัจจุบันกำหนดให้ต่ำ ไม่เกิน **10-16A** เท่านั้น (กำลังไฟไม่เกิน **2.4kW**) ซึ่งใช้เวลาชาร์จค่อนข้าง**นาน** แต่มีความปลอดภัยมากกว่า Mode 1 ผู้จำหน่ายรถ EV ในไทยมักจะแถมอุปกรณ์นี้มาให้ โดยเรียกว่า Emergency Charge
แบบที่ 3: เสียบชาร์จรถด้วย EV Charger แบบ Wallbox ซึ่งเป็นรูปแบบที่ต่างประเทศและการไฟฟ้าของไทยแนะนำสำหรับการชาร์จที่บ้าน เรียกว่า AC Fast Charging ใช้กระแสไฟฟ้าได้สูงถึง **32A** มีทั้งแบบ Single-phase และ **3-phase** จึงสามารถชาร์จกำลังไฟได้ตั้งแต่ **3.6-22kW** ขึ้นอยู่กับรุ่นของ EV Charger และ On-board charger ภายในรถ EV (สามารถชาร์จไฟได้เร็วกว่า Emergency Charge ถึง **2-10เท่า**) และตัดไฟอัตโนมัติเมื่อชาร์จเต็ม ใช้ได้ทั้งรถ BEV (Battery EV) และ PHEV (Plug-in Hybrid EV) ชาร์จเป็นประจำได้ทุกวัน
แบบที่ 4: เสียบชาร์จรถด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC Fast Charging (ไม่ต้องผ่าน On-Board charger) ทำให้ชาร์จได้ด้วยความเร็วสูงมาก เพียง **20-40 นาที** สามารถชาร์จได้ **80%**ของแบต สามารถใช้ได้เฉพาะรถ BEV เท่านั้น
การเลือกวิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับรถยนต์และความต้องการของผู้ใช้งาน โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้งานจะใช้ Mode 3 เป็นหลัก เพราะสามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่บ้านของตัวเอง และใช้ Mode 4 เป็นครั้งคราวเมื่อต้องการชาร์จได้อย่างเร่งด่วน
อ้างอิง: EV Charging Mode : รูปแบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า | PRIME INTER HOLDING
TAG
9 ต.ค. 2023 0